06.00 น.คณะผู้เดินทางพร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารขาออกชั้น 4 ประตูทางเข้าเบอร์ 6-8 เคาน์เตอร์ Q สาย การบินกาตาร์ แอร์เวย์ (QR) เจ้าหน้าที่บริษัทฯคอยให้การต้อนรับพร้อมอํานวยความสะดวกด้านสัมภาระ และ บัตรที่นั่งขึ้นเครื่อง
09.05 น.ออกเดินทางสู่ ลิสบอน ประเทศโปรตุเกส โดยเที่ยวบินที่ QR 831 /QR 341 แวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินโดฮา ประเทศกาตาร์ บริการอาหารและเครื่องดื่มตลอดเที่ยวบิน
20.35 น.คณะเดินทางถึง ท่าอากาศยานลิสบอน ปอร์เตลา กรุงลิสบอน เมืองหลวงเก่าแก่มีประวัติยาวนานกว่า 800 ปี ของ ประเทศโปรตุเกส เมืองที่ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ตั้งอยู่ในทวีปยุโรปตอนใต้บน คาบสมุทรไอบีเรีย หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว นําคณะเดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พัก
พักค้างคืน ณ RADISSON BLU LISBON หรือเทียบเท่า (คืนที่ 1 )
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม (มื้อที่ 1)
ออกเดินทางสู่ แหลมโรก้า (Capo Da Roca) ตะวันตกสุดของโปรตุเกสและของทวีปยุโรป ตั้งอยู่ในเขตอุทยาน แห่งชาติซินทรา ห่างจากลิสบอนเมืองหลวงประมาณ 45 กม. ตัวแหลมจะยื่นออกไปทางตะวันตกสู่มหาสมุทร แอตแลนติก ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นชะง่อนผาสูงประมาณ 100 เมตรเกิดจากการกัดเซาะของน้ําทะเลซึ่งทําให้เกิด คลื่นขนาดใหญ่สูงกว่า 30 เมตร และถือได้ว่าใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ จากตรงนี้ท่านจะได้ชมความงามของ มหาสมุทรแอตแลนติกอันยิ่งใหญ่ไพศาลเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก นําคณะเดินทางไปยัง กรุงลิสบอน
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร (มื้อที่ 2)
นําคณะเที่ยวชม กรุงลิสบอน ผ่านชมอดีตพระราชวังหลวง อายุเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ผสมผสานระหว่าง สถาปัตยกรรมโกธิกและมัวร์อย่างสวยงาม ปัจจุบันเป็นที่พํานักอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดี ชมเมือง วิหารเจอโรนิโม ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่วาสโก ดากามา และการเดินทางสู่อินเดียเป็นผลสําเร็จ ในปี ค.ศ. 1498 จัดเป็นผลงานอันเยี่ยมยอดของงานสถาปัตยกรรมที่เรียกกันว่ามานูเอลไลน์ (MANUELINE) ใช้เวลา ก่อสร้างทั้งสิ้น 70 ปี จึงเสร็จสมบูรณ์ และได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก้ว่าเป็น WORLD HERITAGE SITE ภายในประกอบไปด้วยอาคารสําคัญต่างๆ นําท่านชม หอคอยเบเล็ม (BELEM TOWER) เดิมสร้างไว้กลาง น้ําเพื่อเป็นป้อมรักษาการณ์ดูแลการเดินเรือเข้าออก และเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินเรือออกไปสํารวจและค้นพบ โลกของวาสโก ดากามา และนักเดินเรือชาวโปรตุเกส เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของสถาปัตยกรรมมานูเอลไลน์ที่ สวยงาม บันทึกภาพกับ อนุสาวรีย์ดิสคัฟเวอรี่ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1960 เพื่อฉลองการครบ 500 ปี แห่งการ สิ้นพระชนม์ของเจ้าชายเฮนรี่ เดอะเนวิเกเตอร์ และยกย่องนักเดินเรือสํารวจรอบโลก เชิญท่านลองชิมขนมทาร์ตคัสตาร์ด (NATA DE PASTEIS) ในร้านขนมเก่าแก่ที่ให้บริการมากว่าร้อยปี แวะชิมขนมโปรตุเกสต้นตํารับของ ขนมไทย อาทิ ทองหยอด ที่มีต้นตํารับแท้อยู่ที่โปรตุเกสและเข้าไปเผยแพร่ในกรุงศรีอยุธยาโดยท่านท้าวทองกีบ ม้า จากนั้นนําชม สะพานแขวนที่ยาวที่สุดในยุโรป ซึ่งสะพานนี้มีชื่อว่า PONTE 25 ABRIL (ซึ่งเมื่อวันที่ 25 APRIL ปี 1974 ได้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตย)
คำ่ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร (มื้อที่ 3)
พักค้างคืน ณ RADISSON BLU LISBON หรือเทียบเท่า (คืนที่ 2)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม (มื้อที่ 4)
นําท่านสู่ เมืองชิงตรา ดินแดนแห่งมรดกโลก เมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมและทิวทัศน์ของธรรมชาติที่ สวยงามจนได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลกในส่วนของ ภูมิทัศน์วัฒนธรรม เป็นแห่งแรกของ ยุโรปเมื่อปี ค.ศ. 1995ยังเป็นเมืองพักตากอากาศยอดนิยมสําหรับชาวโปรตุเกสและนักท่องเที่ยวทั่วโลกอีกด้วย
นําท่านเข้าชม พระราชวังแห่งชาติเปนา (PENA PALACE) หรือ PALA'CIO NACIONAL DA PENA หนึ่งใน มรดกโลกแห่ง เมืองซึ่งตรา (SINTRA) เดิมเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 แต่หลังจาก เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปี ค.ศ. 1755 โบสถ์แห่งนี้ก็พลังทลายลงจนเหลือเพียงแค่ซากปรักหักพัง จนกระทั่งเมื่อ ปี ค.ศ. 1838 กษัตริย์ FERDINAND SAXE-COBURG-GOTHA ก็ได้ตัดสินใจสร้างพระราชวังขึ้นใหม่แทนที่ โบสถ์หลังเดิม แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1854 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโรแมนติก ทาด้วยสีเหลือง แดง น้ําเงิน ม่วง ดู ฉูดฉาด สดใส ล้อมรอบไปด้วยพรรณไม้นานาชนิดจากทั่วโลก สวยงามราวกับปราสาทในเทพนิยาย JO)
เที่ยง รับประทาน อาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร (มื้อที่ 5)
จากนั้นนําท่านสู่ ย่านเมืองเก่าซึ่งตรา (OLD CENTRE OF SINTRA) จุดศูนย์รวมตึกอาคารที่มีรูปแบบ สถาปัตยกรรมเก่าแก่ในเมือง รวมถึงพิพิธภัณฑ์สําคัญๆ ต่างๆ โบสถ์ ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ออกเดินทางสู่ ปอร์ โต้ (Porto) เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองในโปรตุเกส และเป็นหนึ่งในเมืองศูนย์กลางเก่าแก่ของยุโรป ตั้งอยู่ใน ภาคเหนือของโปรตุเกสที่ปากของแม่น้ําดูว์โร (Duero Hisz) เป็นเมืองท่าที่มีชื่อในด้านไวน์ปอร์โต้ ซึ่งเป็นแหล่ง|น้ําเมาชั้นดีของคนที่รักในการดื่ม เพราะมีCaveไวน์ของแต่ละแบรนด์กระจายไปทั่ว ด้วยปัจจัยเหล่านี้ปอร์โต้จึง ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1996 เมืองนี้แบ่งการท่องเที่ยวเป็นสามส่วน ใหญ่ๆ คือ โซนชายฝั่งทะเล ซึ่งสร้างชื่อตอนหน้าร้อนให้กับเมืองนี้ได้อย่างดี โซนเมืองเก่า ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์ เก่า, สถานีรถไฟเก่าแก่, ตลาดดั้งเดิมและตึกรามบ้านช่องที่บอกถึงความเก่าได้อย่างดี และสําหรับโซนนี้มีแหล่ง ท่องเที่ยวที่สําคัญและเป็นที่ที่โรแมนติกมากคือที่ริมแม่น้ําที่ชื่อว่า The Ribeira ซึ่งมีทิวทัศน์ทั้งในกลางคืนและ กลางวัน ส่วนโซนที่สามที่มีแม่น้ําดูว์โรผ่านกลาง คือ โซนเมืองใหม่ หรือ ย่าน Vila Nova de Gala โซนนี้จะเป็น โซนที่สําหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบในการดื่ม เพราะเป็นแหล่งผลิตไวน์ปอร์โต้ของทุกยี่ห้อแล้วแต่เลือกสรรกันไป ซึ่งสองย่านนี้ถูกเชื่อมด้วยสะพานเหล็กที่สูงเฉียดฟ้า และแข็งแกร่งซึ่งคนที่สร้างสะพานแห่งนี้มีชื่อว่า GustaveEiffelเป็นคนเดียวที่สร้างหอไอเฟลในปารีส
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร (มื้อที่ 6)
พักค้างคืน ณ Hf Ipanema Park หรือเทียบเท่า (คืนที่ 3 )
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม (มื้อที่ 7)
จากนั้นนําท่านชมความงามของ เมืองมรดกโลกปอร์โต้ โดยเริ่มจาก ย่านจัตุรัสอเลียโดส หรือ (Praça dos Liberdade) เป็นจัตุรัสใจกลางเมืองปอร์โต้ ที่ประกอบด้วยอาคารสวยงามที่เป็นที่ทําการของธนาคารและโรงแรม และศาลาว่าการเมือง (City Hall) จัตุรัสแห่งนี้เป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ และเป็นแหล่งรวมอาคารสถาปัตยกรรม เก่าแก่ของปอร์โต้ อิสระให้ท่านได้ถ่ายรูปบริเวณจัตุรัสอเลียโดสแห่งนี้ จากนั้นนําท่านชม สถานีรถไฟ Sao Bento ซึ่งเป็นอาคารสถานีรถไฟโบราณ ภายในมีการตกแต่งด้วยกระเบื้องเขียนสีและลวดลายสีน้ําเงินบอกเล่า เรื่องราวของชาวโปรตุเกสสวยงามมาก จากนั้นแวะถ่ายรูปกับโบสถ์หลักที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง โบสถ์ Se Catedral อายุกว่าพันปี โบสถ์แห่งนี้เป็นที่จัดงานอภิเษกสมรสของกษัตริย์ Joao ที่ 1 บิดาของเจ้าชายเฮนรี่ ผู้บุกเบิกการเดินเรืออันยิ่งใหญ่ของโปรตุเกสเพื่อออกแสวงดินแดนใหม่ จนโปรตุเกสมีอาณานิคมมากมายทั่วโลก และโปรตุเกสคือประเทศตะวันตกประเทศแรกที่มาติดต่อกับไทยในปี พ.ศ. 2054 โบสถ์แห่งนี้สร้างอยู่บนเนินที่ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองและแม่น้ํา คูว์โร เป็นจุดชมวิวที่สวย อีกจุดให้ท่านเก็บภาพประทับใจ
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร (มื้อที่ 8)
นําท่านลงเรือ ล่องชมความงามสองฟากฝั่งแม่น้ําดูว์โร ผ่านชม Cais da Ribeira เรือขนไวน์โบราณ Rabelos ที่ จอดเรียงรายให้ชื่นชมความเป็นมาของเมืองนี้และแม่น้ําดูว์โร สถานที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ที่รุ่งเรืองมากใน สมัยที่เป็นท่าเรือโบราณและตลาดค้าขายมาตั้งแต่สองสามร้อยปีก่อน บริเวณนี้จึงได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดก
ออกเดินทางสู่ ซาลามังก้า เมืองหลักของจังหวัดซาลามังก้าในแคว้นคาสตีลและเลออง เมืองมีชื่อที่ได้ยินมานาน แล้วโดยเฉพาะกิตติศัพย์ในเรื่องของความเก่าแก่และงดงาม เมืองนี้จึงเป็นเมืองที่ค่อนข้างมีมนต์ขลังอีกเมืองหนึ่ง บนที่ราบสูงริมแม่น้ําตอร์เมส ในอดีตเมืองซาลามังก้า เป็นเมืองที่มีทางภาคตะวันตกของประเทศสเปน ความสําคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของการค้าขายเมื่อครั้งสมัยโรมันยังเรืองอํานาจอยู่
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร (มื้อที่ 9)
พักค้างคืน ณ GRAN HOTEL CORONA SOL หรือเทียบเท่า (คืนที่ 4 )
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม (มื้อที่ 10)
นําท่านสู่ พลาซา มายอร์ (PLAZA MAYOR) ศูนย์กลางของเมือง สร้างโดยศิลปะสไตล์บาร็อกอันเป็นเอกลักษณ์ ของความอู้ฟู่ในยุคศตวรรษที่ 16-18 ในฤดูร้อน พลาซา มายอร์ คือพื้นที่แห่งความบันเทิงของชาวสเปน หนึ่งใน นั้นก็คือการสู้วัวกระทิง จนในที่สุดก็เลิกจัดขึ้นที่พลาซาแห่งนี้ในกลางยุคปี ค.ศ. 1800 ปัจจุบันบริเวณนี้เรียกได้ว่า เป็นจุดศูนย์กลางของการทํากิจกรรม และการพบปะของผู้คน จากนั้นนําท่านถ่ายรูปกับ มหาวิทยาลัยซาลามังกา(UNIVERSITY OF SALAMANCA) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของประเทศสเปนยาวนานถึง 700 กว่าปี นับว่า มีอายุเก่าแก่ไม่แพ้มหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศอื่นๆ ในยุโรป อย่างไรก็ตามสถาปัตยกรรมสําคัญของซาลามัง กาคือ มหาวิหาร, พระราชวังและตัวอาคารหลายแห่งของมหาวิทยาลัยยังคงมีสภาพสมบูรณ์ จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ. 1988 องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เขตเมืองเก่าของซาลามังกาเป็นมรดกโลก และในปี ค.ศ. 2002 ก็ได้รับ การยกย่องให้เป็นเมืองหลวงด้านวัฒนธรรมของยุโรปร่วมกับเมืองบรูจส์ของเบลเยียม
นําท่านถ่ายรูปกับ มหาวิหารซาลามังกา ที่อยู่ในเขตเมืองเก่าเป็นส่วนหนึ่งของอาคารประวัติศาสตร์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดก โลก มหาวิหารในเมืองที่สําคัญมี 2 แห่งคือ มหาวิหารเก่าสร้างเมื่อศตวรรษที่ 12 ด้วยรูปแบบศิลปะโรมัน และ มหาวิหารใหม่ สร้างเมื่อศตวรรษที่ 16 เป็นศิลปะแบบโกธิคที่ดูทันสมัยขึ้น ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 200 ปีจึงแล้วเสร็จ ถ่ายรูปที่ระลึกกับ บ้านหอย (HOUSE OF SHELL) ตั้งอยู่ระหว่างพลาซา มายอร์กับมหาวิหารใหม่ ตึกนี้มี ชื่อตามเปลือกหอยที่ประดับบนกําแพงด้านนอก หอยที่ใช้ประดับนี้เป็นตราประทับของเจ้าของเก่าคืออัศวินซาน ติอาโก และที่นี่ก็คือบ้านของอัศวินผู้นี้ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันได้กลายเป็นหอสมุดสาธารณะ ซึ่งว่าไปก็น่าจะเป็นหอสมุดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อิสระให้ท่านเดินเล่นชมเมืองหรือช้อปปิ้งตามอัธยาศัย
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร (มื้อที่ 11)
ออกเดินทางสู่ เซโกเบีย เป็นเมืองหลักของจังหวัดเซโกเบียในแคว้นคาสตีลและเลออองของสเปน ตั้งอยู่บริเวณจุดบรรจบระหว่างแม่น้ําเอเรสมากับแม่น้ํากลาโมเรสที่เชิงเขากวาดาร์รามา โดยขณะที่อยู่ภายใต้การปกครองของ ชาวโรมันและชาวมัวร์ เมืองนี้มีชื่อเรียกว่า เซโกเบีย (Segovia) สันนิษฐานว่าชื่อเมืองมีรากศัพท์มาจากภาษาของ ชาวเคลต์ว่า เซโกบรีกา (Segobriga) ซึ่งเกิดจากการประสมของคําว่า Sego แปลว่า “ชัยชนะ” และคําว่า Briga แปลว่า “เมือง” นําท่านแวะถ่ายรูปที่ระลึกกับ สะพานส่งน้ําโรมัน จากนั้นนําชมเขตเมืองเก่าล้อมรอบด้วยกําแพง ที่สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 และได้รับการบูรณะในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 15 แวะถ่ายรูปที่ระลึกกับ มหาวิหารแห่งเมืองเซโกเบีย (Segovia Cathedral) ที่มีชื่อเสียง ถ่ายรูปกับ ปราสาทแห่งเซโกเบีย หรือ ปราสาทอัล กาซาร์ (คําว่าอัลกาซาร์) ในภาษาอารบิกแปลว่าปราสาท หลายคนเรียกปราสาทแห่งนี้ว่าปราสาทแห่งเทพนิยาย เพราะความสวยสง่างามที่มองเห็นได้จากภายนอก ตั้งอยู่บนชะง่อนผาสูงที่แม่น้ําสองสายไหลมาบรรจบกัน จากนั้นอิสระให้ท่านเดินเล่นเลือกซื้อของฝากของที่ระลึกกับร้านค้าต่างๆ ที่เรียงรายสองข้างทางกันตามอัธยาศัย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร (มื้อที่ 12) (เมนูหมูหันอันขึ้นชื่อ)
พักค้างคืน ณ PARADOR DE SEGOVIA หรือเทียบเท่า (คืนที่ 5 )
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม (มื้อที่ 13)
นําคณะเดินทางต่อไปยัง โตเลโด้ เมืองประวัติศาสตร์ซึ่งมีความหมายว่า “เมืองป้อมน้อย” ในอดีตเป็นเมืองหลวง เก่าของสเปน และเคยถูกชาวโรมันเข้ายึดครองเมืองเมื่อ 2,200 ปีมาแล้ว ปัจจุบันอารยะธรรมของชนต่างชาติครั้ง ก่อนยังคงฝังแน่นคละกันอยู่ในชีวิตประจําวันของชาวเมือง ลักษณะผังเมืองโตเลโด้เป็นเอกลักษณ์ที่น่าชื่นชม ที่สุดของการจัดสร้างเมืองโบราณอันสมบูรณ์แบบ ตัวเมืองรายล้อมด้วยเนินเขามากมาย ประดุจกําแพงธรรมชาติ ด้วยหุบผา 3 แห่งโดยมีแม่น้ําทาโคเป็นเส้นทางคมนาคม นอกจากนี้เมืองโตเลโด้เป็นใจกลางของประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม และได้รับรองจากยูเนสโก้ประกาศให้เมืองโตเลโด้เป็นเมืองมรดกโลก
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร (มื้อที่ 14)
นําคณะเที่ยวชม นครโตเลโด้ ซึ่งเป็นนครที่คงความงดงามและความเป็นมาในฐานะเมืองเก่าอันเปรียบเป็น อนุสรณ์แห่งประวัติศาสตร์ ยังคงได้รับการยอมรับและบันทึกเอาไว้โดยองค์การสหประชาชาติว่าเป็น “เมือง มรดกโลก” จากนั้นนําคณะเข้าชม มหาวิหารแห่งโตเลโด้ มหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในสเปน เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1227 อันเป็นสมัยที่ศิลปะแบบโกธิคกําลังแพร่หลายอยู่ในยุโรป และเสร็จสิ้นสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 1493 ถือเป็น มหาวิหารสไตส์โกธิคที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง และเป็นศูนย์กลางแห่งศาสนาคริสต์ในประเทศสเปนอีกด้วย ชมห้องเก็บสมบัติของบิช๊อบแห่งโตเลโด้ที่เต็มไปด้วยมงกุฎและคฑาเพชร นําคณะเดินลัดเลาะตามตึกรามบ้านช่อง เก่าแก่สมัยโรมัน ท่านจะประทับใจกับความงดงามและความเก่าแก่ของโตเลโด้ ซึ่งเหมือนกับพิพิธภัณฑ์ทั้งเมือง นําชมโรงงานผลิตเครื่องถมของสเปนดามาสกิโน่ที่สวยงามด้วยการนําทองและเงินมาตีเป็นเส้น และตอกลงบนโลหะสีดําเป็นงานฝีมือที่มีชื่อเสียงของโตเลโด้มาช้านาน
เดินทางสู่ กรุงแมดดริด เมืองหลวงของประเทศสเปนมหานครอันทันสมัยล้ำยุค ที่ซึ่งกษัตริย์ฟิลลิปที่ 2 ได้ทรง ย้ายที่ประทับจากเมืองโตเลโด้มาไว้ที่นี่ และประกาศให้แมดดริดขึ้นเป็นเมืองหลวงใหม่ของพระองค์ จากนั้น ระหว่างปี ค.ศ. 1601-1607 เมื่อพระเจ้าฟิลลิปที่ 3 ได้ย้ายไปที่เมืองวัลลาโดลิด แมดดริดก็ได้ความเป็นเมืองหลวง สืบมาจนถึงบัดนี้ และได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลกและสูงสุดแห่งหนึ่งในยุโรป
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร (มื้อที่ 15) เมนูข้าวผัดสเปนอันเลื่องชื่อ พร้อมรับชมระบําฟลามิงโก้
พักค้างคืน ณ CHAMARTIN THE ONE หรือเทียบเท่า (คืนที่ 6)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม (มื้อที่ 16)
นําคณะเที่ยวชมเมืองเก่าแก่นับพันปีตั้งอยู่ใจกลางแหลมไอบีเรียน เป็นเมืองหลวงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นําท่านคณะ ถ่ายรูปด้านหน้าสนามกีฬาซานเตียโก เบร์นาเบว เป็นสนามฟุตบอลที่มีชื่อเสียงในกรุงมาดริดของ ประเทศสเปน เป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด เริ่มเปิดใช้สนามเมื่อ วันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1944 เดิมมีชื่อว่าเอสตาดีโอชามาร์ติน (Estadio Chamartin) ตามชื่อ ของสนามเดิมของสโมสร เปิดใช้สนามอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 1947 เรอัลมาดริดได้ประกาศใช้ชื่อที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ เอสตาดีโอซานเตียโก เบร์นาเบว เมื่อวันที่ 4 มกราคม 1955 เพื่อ เป็นเกียรติแก่ประธานสโมสรคือ ซานเตียโก เบร์นาเบว เยสเต
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร (มื้อที่ 17)
นําคณะเที่ยวชมสถานที่สําคัญๆ ในกรุงแมดริด เริ่มต้นจาก ปลาซา เดอ เอส ปันญา อนุสาวรีย์เซอร์แวนเตส กวีเอกชาวสเปนที่ตั้งอยู่เหนืออนุสาวรีย์ดอนกิโฮเต้และซันโซปันซาในสวนสาธารณะปลาซ่า มายอร์จัตุรัสหลวง ศูนย์กลางเมืองอันเก่าแก่ ถูกสถาปนาขึ้นในปี ค.ศ. 1620 จากนั้นนําคณะชมย่านเมืองเก่า พลาซ่าร์ มายอร์ เป็น จตุรัสใหญ่ใจกลางเมืองเก่าอดีตใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เป็นที่ประกอบพิธีราชาภิเษกและงานฉลองพิธี สําคัญ ๆ เป็นที่ประลองฝีมือของบรรดาอัศวิน และเคยเป็นแหล่งสู้รบอย่างดุเดือดระหว่างทหารของนโปเลียน กับชาวสเปน ปัจจุบันยังคงมีบรรยากาศ และความงามสมัยศตวรรษที่ 1 นําท่านเข้าสู่ ย่าน ปูเอต้า เดล ซอล หรือ ประตูพระอาทิตย์ จัตุรัสใจกลางเมือง ซึ่งนอกจากจะเป็นจุดนับกิโลเมตรแรกของสเปนแล้ว ยังเป็นศูนย์กลาง รถไฟใต้ดินและรถเมล์ทุกสาย และยังเป็นจุดตัดของถนนสายสําคัญของเมืองที่หนาแน่นด้วยร้านค้ามากมาย และห้างสรรพสินค้าใหญ่อีกด้วย ถ่ายรูปคู่กับ อนุสาวรีย์หมีกับต้นมาโดรนา สัญลักษณ์ของเมืองจากนั้นอิสระให้ ท่านเดินเที่ยว WALKING STREET เลือกซื้อสินค้าต่างๆ
คำ่ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร พื้นเมือง (มื้อที่ 18)
พักค้างคืน ณ CHAMARTIN THE ONE หรือเทียบเท่า (คืนที่ 7)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม (มื้อที่ 19)
นําท่านแวะถ่ายรูปที่ระลึกกับ สนามสู้วัวกระทิง PLAZA DE TOROS ที่ชาวสเปนนิยมชมชอบการสู้วัว เนื่อง ด้วยเป็นวิถีโบราณแห่งการเอนเตอร์เทนที่เร้าใจมาช้านาน จากนั้นนําคณะเข้าชม พระราชวังหลวง ของกษัตริย์ ฮวนคาลอส ตั้งอยู่บนเนินเขาริมฝั่งแม่น้ําแมนซานาเรส มีความสวยงามโอ่อ่าอลังการไม่แพ้พระราชวังอื่น ๆ ใน ทวีปยุโรป เนื่องจากแนวความคิดเปรียบเทียบความใหญ่โตของพระราชวังแวร์ซายส์ และความสวยงามของ พระราชวังลูฟว์ในฝรั่งเศส พระราชวังหลวงแห่งนี้จึงถูกสร้างด้วยหินทั้งหลัง ในปี ค.ศ. 1738 ในสไตล์บาร็อค โดยการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบฝรั่งเศสและอิตาเลียน ประกอบด้วยห้องต่าง ๆ มากมายถึง 2,830 ห้อง ซึ่ง นอกจากจะมีการตกแต่งอย่างงดงามแล้ว ยังเป็นที่เก็บภาพเขียนชิ้นสําคัญที่วาดโดยศิลปินในยุคนั้นรวมทั้ง สิ่งของมีค่าต่างๆ อาทิ พัดโบราณ, นาฬิกา, หนังสือ, เครื่องใช้, อาวุธ ฯลฯ จากนั้นชม อุทยานหลวงที่มีการเปลี่ยน พันธุ์ไม้ทุกฤดูกาลดอกไม้งดงามตลอดทั้งปี จากนั้นทําท่านเดินทางสู่ เอาท์เล็ท LAS ROZAS VILLAGE หนึ่งในเอาท์เล็ทที่ดีที่สุดในมาดริดซึ่งขึ้นชื่อเรื่องส่วนลดของสินค้าแบรนด์ดังมากมาย
18.00 น.ออกเดินทางสู่ ท่าอากาศยานมาดริด-บาราฆัส TAXREFUND พร้อมกับเช็คอินเดินทางกลับสู่ประเทศไทย
22.30 น.เดินทางกลับสู่ กรุงเทพฯ โดยเที่ยวบินที่ QR 152 /QR 828 แวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินโดฮา ประเทศกาต้าร์ บริการอาหารและเครื่องดื่มตลอดเที่ยวบิน
19.25 น. คณะเดินทางกลับถึง สนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยความสวัสดี....พร้อมความประทับใจมิรู้ลืม
1) ค่าตั๋วเครื่องบิน (ECONOMY CLASS) ที่ระบุวันเดินทางไป-กลับพร้อมคณะ ในกรณีมีความประสงค์อยู่ต่อ จะต้องไม่เกิน จํานวนวัน จํานวนคนและมีค่าใช้จ่ายที่ทางสายการบินกําหนด (น้ําหนักกระเป๋าใบใหญ่ท่านละ 25 กิโลกรัม/กระเป๋าถือ ขึ้นเครื่องท่านละ 7 กิโลกรัม)
2) ค่าภาษีสนามบินทุกแห่งตามรายการ
3) ค่ารถโค้ชปรับอากาศนําเที่ยวตามรายการ พร้อมคนขับรถที่ชํานาญเส้นทาง (กฎหมายในยุโรปไม่อนุญาตให้คนขับรถเกิน 12 ชั่วโมง/วัน)
4) ค่า COACH TAX และค่าภาษีผ่านเข้าเมืองต่างๆ
5) ค่าห้องพักในโรงแรมที่ระบุตามรายการพร้อมอาหารเช้าหรือเทียบเท่า (โรงแรมส่วนใหญ่ในยุโรปจะไม่มีเครื่องปรับอากาศ เนื่องจากอยู่ในภูมิประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น, ราคาโรงแรมอาจมีการปรับขึ้นหลายเท่าตัว หากวันเข้า พักตรงกับช่วงงานเทศกาล งานแฟร์หรือการประชุมต่างๆ อันเป็นผลทําให้ต้องมีการเปลี่ยนย้ายเมือง โดยทางบริษัทฯ จะ คํานึงถึงความเหมาะสมและผลประโยชน์ของคณะผู้เดินทางเป็นสําคัญ)
6) ค่าอาหารเลิศรสทุกมื้อที่ระบุตามรายการ
7) ค่าบัตรเข้าชมสถานที่และการแสดงทุกแห่งที่ระบุตามรายการ
8) ค่าวีซ่าท่องเที่ยวยุโรปแบบยื่นปกติ (ทางสถานทูตจะไม่คืนค่าธรรมเนียมยื่นวีซ่าให้ ไม่ว่าวีซ่าจะผ่านหรือไม่) 9) ค่าบริการนําทัวร์ โดยหัวหน้าทัวร์ผู้มีประสบการณ์
10) ค่าประกันอุบัติเหตุในการเดินทางวงเงิน 1,000,000 บาท และค่ารักษาพยาบาลในวงเงิน 200,000 บาท (ตามเงื่อนไขกรมธรรม์)
11) ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3% (เฉพาะค่าบริการ)
1) ค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ เช่น ค่าโทรศัพท์, ค่าซักรีด, มินิบาร์และทีวีช่องพิเศษ ฯลฯ
2) ค่าอาหารและเครื่องดื่มสั่งพิเศษในร้านอาหาร นอกเหนือจากที่บริษัทฯจัดให้ ยกเว้นจะตกลงกันเป็นกรณีพิเศษ
3) ค่าน้ําหนักส่วนที่เกิน 25 กิโลกรัม และมีจํานวนมากกว่า 1 ชิ้น (ระเบียบของสายการบิน)
4) ค่าทิปหัวหน้าทัวร์ 900 บาท ต่อท่าน
5) ค่าทิปพนักงานขับรถในยุโรป 25 ยูโร ต่อท่าน
บริษัทฯ ขอสงวนลิขสิทธิ์ในการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงราคากรณีผู้ร่วม เดินทางน้อยกว่า 15 ท่าน
สําหรับท่านที่เป็นมุสลิม, ทานมังสวิรัติ, ไม่ทานหมู, ไม่ทานเนื้อ, ไม่ทานไก่, ไม่ทานปลา โปรดแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์
* ในกรณีเลื่อนการเดินทางกลับ ท่านจะต้องแจ้งล่วงหน้าก่อนทําการยื่นวีซ่า ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายแตกต่าง และต้องมีค่าใช้จ่ายใน การเลื่อนตั๋ว และเอกสารเพิ่มเติม เช่นเอกสารประกัน,เอกสารโรงแรมที่อยู่ต่อ ***หมายเหตุข้อสําคัญที่ท่านควรทราบ***
1.)ในการยื่นวีซ่า ทางบริษัท จะทําการนัดหมายกับสถานทูตและสถานทูตจะเป็นผู้กําหนดวันและเวลาให้เข้าไปยื่นวีซ่า เป็น การยื่นวีซ่าแบบกรุ๊ปเท่านั้น (ปกติสถานทูตจะให้เข้าไปยื่นวีซ่า 15 วันก่อนเดินทาง) ซึ่งอัตราค่าใช้จ่ายรวมอยู่ในรายการทัวร์
แล้ว ***กรุณาพิจารณารายละเอียดของโปรแกรมทัวร์และเงื่อนไขต่างๆของบริษัท เมื่อท่านได้ชําระเงินมัดจํางวดแรกแล้ว ทาง บริษัทถือว่าท่านได้รับทราบและยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ของบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ***
35/32 จอมพล จตุจักร กรุงเทพ 10900